ผู้เป็นพ่อที่กำลังขับรถมองลูกชายที่นั่งทำหน้าตายิ้มแย้มเกินพอดีผ่านทางกระจกหลัง จะเชื่อดีมั้ยเนี่ย ว่าเด็กคนนี้คือเด็กที่ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายเมื่อก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกำลังเปิดตลาดใหม่ในยุโรป ยามาชิตะ ยูทาโร่... จึงจำเป็นต้องย้ายครอบครัวจากประเทศญี่ปุ่นไปตั้งรกรากที่ประเทศอังกฤษ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยบอกเหตุผล เจ้าตัวยุ่ง ...ยามาชิตะ โทโมฮิสะ ... ลูกชายคนเล็กของเขาก็ร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาซะก่อน
“ขอร้องล่ะครับพ่อ ความฝันของผม ถ้าไม่ใช่ที่นี่ ผมไม่มีวันทำตามฝันได้หรอกครับ”
ความฝันบ้าบออะไรของมัน....แต่เขาก็ไม่ได้ถามลูกชายสุดที่รักหรอกว่าความฝันนั้นคืออะไร เพราะแค่เห็นแววตามุ่งมั่นของลูกชายตัวเล็ก พร้อมกับหยาดน้ำตาของลูก เขาก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใดกับการอยู่ญี่ปุ่นของลูกชาย หากแต่ ...มาริโกะ...ผู้เป็นแม่ กลับเป็นห่วงลูกชายหน้าสวย กลัวว่าจะรับความลำบาก กลัวจะเป็นอันตราย มากมายสารพัดจะห่วง.... บทสรุปก็เลยกลายเป็นว่าเขาต้องออกรับหน้าในการพาลูกชายตัวยุ่งมาฝากไว้กับลูกน้องของเขาแทน แม้จะรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง แต่ก็มองไม่เห็นทางออกอื่นนอกจากวิธีนี้....
“ทำไมต้องเป็นบ้านอคานิชิ หืม?” ผู้เป็นพ่อถามในขณะที่ตายังจ้องมองลูกชายผ่านทางกระจกหลัง
“ก้อ.... ผมกับเรโอะ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แล้วเราก็เป็นเพื่อนกันด้วย” โทโมฮิสะตอบอย่างลอยหน้าลอยตา
“เชื่อตายแหละ.... เห็นตอนอยู่ม.ต้น ตีกันทุกวัน จะมาญาติดีกันตอนขึ้นม.ปลายเนี่ยนะ” ยูทาโร่พูดอย่างรู้ทัน
“แหม พ่อก้อ... ก็ความฝันของผมไง ... ผมอยู่ที่นี่เพื่อทำตามความฝัน ผมเคยบอกพ่อไปแล้วนี่” โทโมฮิสะตอบอย่างมาดมั่น
“ฝันอะไรของแก... ‘โตขึ้นผมจะเป็นเจ้าสาวของจิน’ รึไง” ยูทาโร่พูดพลางหัวเราะขบขันกับคำสัญญาวัยเด็กของโทโมฮิสะกับลูกชายคนโตของบ้านอคานิชิ
“.... ถ้าผมตอบว่าใช่ล่ะ”
“O_o”
............................เอี๊ยดดดดดด..............................
เสียงรถเบรกดังขึ้น ผู้คนสองข้างถนนหันมามองเป็นตาเดียว ผู้เป็นพ่อปาดเหงื่อและยังหายใจถี่....ตกใจ...กับคำตอบของลูกชาย โทโมฮิสะหัวทิ่มมากระแทกกับเบาะรถ เจ้าตัวลูบหัวป้อย
“พ่อทำอะไรของพ่ออ่ะ ผมเจ็บนะ”
“นี่ แกหมายความว่า... ฉันจะไม่มีหลานไว้สืบสกุลใช่มั้ยเนี่ย”
ยูทาโร่หยุดยืนอยู่หน้าบ้านอคานิชิ ยืนมองออดที่ทำท่าว่าจะกดหลายครั้งแต่ก็ชักมือกลับ พร้อมกับทำท่าครุ่นคิด โทโมฮิสะที่เพิ่งลากกระเป๋าลงจากรถ ยืนมองพ่อตัวเองอย่างไม่เข้าใจ... กับแค่กดออด...อะไรกันหนักหนา
....ปิ๊ง ป่องงงงงงง....
“O_o เจ้าลูกบ้า รีบกดทำไม ฉันยังไม่ได้หาข้อแก้ตัวดีๆ ไว้เลยนะ” ยูทาโร่ลุกลี้ลุกลน
“เรื่องนั้น ...ผมเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้วล่ะครับ” โทโมฮิสะปรับสีหน้า ก่อนจะเริ่มเล่นละครบทเศร้า
บานประตูเปิดออกพร้อมกับคุณนายอคานิชิ ที่รีบกระวีกระวาดทันทีที่เห็นเจ้านายของสามี การต้อนรับขับสู้เป็นไปอย่างอบอุ่น เวลานี้สองพ่อลูกยามาชิตะก็เข้ามานั่งอยู่ในห้องรับแขก พร้อมด้วยสองสามีภรรยาอคานิชิ บรรยากาศเริ่มตึงเครียดเนื่องจากไม่มีใครเริ่มบทสนทนา อคานิชิ นัตสึมิ... มองหน้าคนนั้นคนนี้ที ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ได้ข่าวว่ายามาชิตะซังจะไปอังกฤษตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แล้วทำไมถึงยังอยู่ที่ญี่ปุ่นล่ะคะ”
“ก็เจ้าลูกชายตัวดีของผมนะสิครับ มัน...” ยูทาโร่รีบตอบทันทีที่มีคนถาม แต่ก็ถูกเจ้าตัวเล็กแย่งพูดไปซะก่อน
“เพราะผมอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากเลือกทางเดินของตัวเอง อยากทำตามความฝันของตัวเองครับ การที่พ่อผมบังคับให้ผมไปอังกฤษทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ ผมไม่อยากสูญเสียความเป็นญี่ปุ่นในตัวผม”
“บังคับ?? ฉันหรอบังคับ...” ยูทาโร่ชี้มาที่ตัวเองอย่างงงงง
“ผมไม่อยากเติบโตมาท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า ผมอยากเติบโตท่ามกลางสายลมของโตเกียว นั่งปิคนิคใต้ต้นซากุระ เที่ยวเทศกาลดอกไม้ไฟกับคนรัก มันเป็นความฝันของผมครับ”
“เอ๋??? ก่อนหน้านี้แกไม่ได้บอก...” ยูทาโร่มองลูกชายอย่างอึ้งๆ ตกลงอันไหนมันจริงหรือมันไม่จริงกันแน่เนี่ย ตามลูกตัวเองไม่ทันจริงๆ
“ความฝันอย่างนั้นหรอ...” อคานิชิ โคอิจิกล่าวขึ้น
“ฉันชื่นชมในเด็กหนุ่มที่มีความฝันนะ ตอนเด็กๆ ฉันเองก็ฝันอยากเป็นคนออกแบบตึกสวยๆ เหมือนกัน แล้วฉันก็ต่อสู้ดิ้นรนจนได้เป็นสถาปนิก... ฉันไม่อยากให้เธอละทิ้งความฝัน.... ยามาชิตะซังได้โปรดให้ลูกคุณอยู่ญี่ปุ่นเพื่อทำตามความฝันด้วยเถอะครับ” ประโยคสุดท้ายโคอิจิก้มลงเพื่อขอร้อง ยูทาโร่ส่ายหน้าเบาๆ ... โคอิจิเอ๋ยยย... ถ้าแกได้ฟังความฝันของลูกฉัน แกอาจจะไม่พูดแบบนี้ก็ได้นะ
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะลากมันไปด้วยนักหรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่ .... จะให้มันอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง มันเคยอยู่คนเดียวซะที่ไหนกัน”
“....” ความเงียบเริ่มปกคลุมเมื่อทุกคนตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
โทโมฮิสะ บอกมาคำเดียวเลยครับ คุณพ่อจิน คุณแม่จิน คำเดียวเลย...ได้โปรด ได้โปรด
ยูทาโร่ บอกมาเลยครับ... ว่าให้มันไปอยู่ที่อื่น หรือไม่ก็ไปอังกฤษกับพ่อซะเถอะ
โคอิจิ ความฝันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่างที่โทโมะจังบอก ...ความฝันที่หากไม่ได้อยู่ญี่ปุ่นก็ทำไม่ได้มันน่าเสียดาย
นัตสึมิ ยามาชิตะซังเป็นหัวหน้างาน กำลังจะได้ขยายตลาดในญี่ปุ่น ถ้าเรารับโทโมะจังมาอยู่ด้วย และดูแลอย่างดี การเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือนคงไม่ใช่ความฝัน ^_^
“เรื่องนั้น... ทำไมไม่อยู่ที่นี่ซะเลยล่ะคะ โทโมะจังก็เคยอยู่โรงเรียนเดียวกับเรโอะนี่นา” สุดท้ายคุณนายอคานิชิก็เอ่ยขึ้น
“จ..จริงหรอครับ” โทโมฮิสะก้มศีรษะขอบคุณ
“จริงสิจ๊ะ โทโมะจังน่ะ น่ารักยังกับเด็กผู้หญิง อยู่ด้วยกันต้องไม่มีปัญหาแน่ๆ จริงมั้ยคะคุณ” ประโยคสุดท้ายนัตสึมิจิกตามองโคอิจิ ที่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ไม่ได้นะครับ!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง โทโมฮิสะแทบไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นเสียงเรโอะ อคานิชิผู้น้องซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขามาตั้งแต่เข้าม.ต้น โทโมฮิสะถอนหายใจเบาๆ นึกแล้วว่ามันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดตราบใดที่ยังมีไอ้บ้านี่อยู่....
“เรโอะ ลูกมีปัญหาอะไรงั้นหรอจ๊ะ” นัตสึมิหันมาถามลูกชายที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมที่เขาแอบฟังเมื่อครู่
“แล้วจะให้เจ้าเปี๊ยกนั่นไปนอนที่ไหนละครับ ห้องมันก็มีอยู่แค่นี้ ผมไม่อยากแบ่งห้องกับใครนะ...” เรโอะว่าพลางกอดอกมองค้อนมายังโทโมฮิสะ โทโมฮิสะมองสบตาอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนที่บทละครบทต่อไปจะเริ่มขึ้น
“ถ้าเรโอะไม่เต็มใจ... ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ... ความฝันของผม ความฝันของผม... คงจบลงตรงนี้...ฮืออออ” แล้วโทโมฮิสะก็ฟุบลงกับโต๊ะร้องไห้ ร่างอีกร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเรโอะหลีกตัวเข้ามาก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้โทโมฮิสะเกือบลืมหายใจ
“ถ้าความฝันนั้นมันสำคัญขนาดนั้น... นายอยู่ที่นี่... อยู่ที่ห้องฉันก็ได้”
โทโมฮิสะเงยหน้าขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะยิ้มสดใสราวกับไม่มีเรื่องทุกข์โศกเกิดขึ้นก่อนหน้า ยูทาโร่มองลูกชายอย่างระอา โทโมฮิสะมองลึกลงไปในดวงตาจิน หากแต่ไม่มีแม้แววฉงนในดวงตาคู่นั้น... โทโมฮิสะใจหายวาบ.... นี่จินจำเขาไม่ได้เลยหรอ T^T .... แต่ไม่ต้องกลัวหรอก จากวันนี้ไป ...ฉันจะฟื้นความจำให้นายเอง
--------------------
หลังกินข้าวเย็นมื้อแรกกับครอบครัวของสุดที่รัก (?) และขนกระเป๋าเข้ามาในห้องของจินแล้ว โทโมฮิสะก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ ของจิน ก่อนจะซุกหน้าลงไปกับหมอน
“หอมจังเลยน๊าาาา” โทโมฮิสะหัวเราะคิกคักกับหมอนใบนุ่มก่อนจะเอามากอดไว้ พลางจินตนาการว่าถ้าเป็นจินคงจะดี (>//<) บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างที่ไม่อยากจะเห็นเลยสักนิด เรโอะกอดอกพิงประตูก่อนที่จะส่งสายตาเวทนามายังโทโมฮิสะ
“นายนี่บ้าเอาการเลยนะ เป็นสตอร์คเกอร์รึไง ว่างมากขนาดแต่งนิยายมาหลอกพ่อ แม่แล้วก็พี่ชายฉัน”
“ฉันไม่ได้โกหก....เอ่อ...ฉันหมายถึง...เรื่องไม่อยากเติบโตท่ามกลางคนแปลกหน้าอาจจะเป็นเรื่องโกหกนะ แต่ฉันอยากเล่นดอกไม้ไฟกับคนที่ฉันรัก ...เรื่องที่มีความฝันที่ต้องทำให้ได้... มันเป็นเรื่องจริง แล้วนาย...ก็อย่ามาขัดขวางความฝันของฉัน” พูดจบโทโมฮิสะก็จงใจเดินชนเรโอะอย่างจัง
“เดี๋ยว!” เรโอะร้องเรียกก่อนจะโยนบางสิ่งบางอย่างให้โทโมฮิสะ โทโมฮิสะรับไว้โดยอัตโนมัติก่อนจะเห็นว่าเป็นยาหม่องที่ช่วยเขาในบทโศกเมื่อครู่ ร่างบางหน้าร้อนผ่าว
“เรื่องร้องไห้ ... ก็เรื่องโกหก” เรโอะเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะกักโทโมฮิสะไว้กับกำแพง ร่างสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะจงใจกระซิบข้างใบหู
“มีเรื่องอะไรที่ปิดฉันไว้อีกหรือเปล่า... ถ้าจับได้ว่าโกหกอีก ... ฉันจะไม่ให้อภัยนายเลย”
“บ้า!” โทโมฮิสะพลักเรโอะออกก่อนจะวิ่งหนีไป ... ชอบทำอะไรบ้าๆ แบบนี้แหละ ถึงไม่ค่อยอยากเล่นด้วย
โทโมฮิสะเดินหน้าคว่ำมาจนถึงสวนหลังบ้าน พลันสายตาก็เหลือบเห็นใครบางคนฟุบหลับอยู่ที่ศาลากลางสวน แสงไฟสว่างยิ่งขับให้ผิวของจินยิ่งขาวนวลขึ้น (อวบด้วย 555) ขาสองข้างเดินเข้าหาบุคคลอันมีแรงดึงดูดนั้นทันทีโดยที่สมองยังไม่ทันสั่งการ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
“จินหลับคากองหนังสือทั้งที่ยังมีแว่นอยู่ได้ยังไงเนี่ย” โทโมฮิสะตั้งใจจะถอดแว่นให้เพื่อให้จินได้นอนสบายขึ้นแต่ก็ต้องชะงัก
“คาเมะ... คาเมะ...”
คาเมะ... อย่างนั้นหรอ เขาเป็นใครกันนะ สิบปีตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ในความคิดและหัวใจของโทโมฮิสะมีแต่จินคนเดียวมาตลอด ทุกเรื่องของจิน... โทโมฮิสะรู้หมด ...(ทำตัวเหมือนสตอร์คเกอร์อย่างที่เรโอะบอกจริงๆ นั่นล่ะ) แต่คาเมะ...คนที่จินเพิ่งละเมอหา... ไม่เคยอยู่ในข้อมูลเลย... เอ๊ะ! รึว่าจะเป็นนางเอก AV .... ไม่ ไม่ ไม่ .... จินไม่ใช่คนแบบนั้น (จริงป่ะ).... อยากรู้ก็คงต้องสืบอีกแล้วล่ะมั้ง
หลังจากตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องตามสืบเรื่องของจิน โทโมฮิสะกลับมาดูเครื่องแต่งกายสำหรับเด็กมหาวิทยาลัยเพื่อให้กลมกลืนกับมหาวิทยาลัยของจิน ...ไม่อยากจะบอกว่า...โทโมฮิสะมีของแบบนี้เพี๊ยบ... แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปเขาก็พบว่ากระเป๋าเสื้อผ้าของเขาหายไปจากห้องซะแล้ว โทโมฮิสะวิ่งหน้าตาตื่นลงมายังห้องนั่งเล่นที่แม่กับพ่อของจินนั่งดูทีวีอยู่
“แย่แล้วครับคุณลุงคุณป้า บ้านเรามีขโมยครับ กระเป๋าผม ...กระเป๋าผมหายไป” โทโมฮิสะพูดไปหอบไป นัตสึมิละสายตาจากทีวีก่อนจะตอบอย่างใจเย็น
“อ้อ กระเป๋าของโทโมะจังน่ะ เรโอะเขาช่วยย้ายไปไว้ที่ห้องเขาให้แล้วล่ะจ้ะ”
“ห้องเรโอะ?”
“จ้ะ อยู่ๆ เรโอะก็มาบอกว่าให้โทโมะจังไปอยู่ด้วยได้ แล้วป้าก็เห็นว่าห้องเรโอะกว้างกว่าห้องของจินมาก ก็เลย...”
โทโมฮิสะทรุดลงนั่งข้างๆ แม่ของจินก่อนจะถอนหายใจ ไอ้ครั้นที่จะโวยวายแล้วบอกว่าจะอยู่กับจิน...จะอยู่กับจิน ...มันก็แลดูส่อเจตนาหื่นไปหน่อย....
“โทโมะจังมีอะไรรึเปล่าจ้ะ”
“ไม่มีอะไรครับ”
โทโมฮิสะเดินเข้าไปในห้องเรโอะอย่างเซ็งๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ... เขาไม่ใช่นางเอกละครซะด้วย... ที่จะได้ขว้างที่นอนกับหมอนให้พระเอกนอนข้างล่าง ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกัน ...นอนมันด้วยกันเนี่ยแหละ แต่เจ้าเนี่ย...เผลอเป็นไม่ได้ ลวนลามทุกที เอาหมอนข้างกั้นไว้หน่อยท่าจะดี ...
เสียงหัวเราะหึหึในลำคอทำให้โทโมฮิสะละสายตาอย่างป้อมปราการ (ที่ทำด้วยหมอนข้าง) มายังต้นเสียงที่พันกายด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว หยดน้ำเกาะพราวไปทั้งตัว หัวเปียกๆ มีผ้าขนหนูพาดไว้ลวกๆ
“โห! นี่นายคิดว่าฉันจะปล้ำนายรึไงห๊ะ ฉันไม่ชอบขืนใจหรอกน่า ...ถ้าสมยอมล่ะก้อไม่แน่” เรโอะเดินเข้ามาใกล้
“บ้า!”
“ไปอาบน้ำได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า... จะว่าไปก็เหมือนพรหมลิขิตเนอะ ทั้งที่นายไม่ชอบขี้หน้าฉันตั้งแต่ม.ต้น แต่ก็ยังได้เรียนม.ปลายที่เดียวกัน แถม...ตอนนี้ยังนอนเตียงเดียวกันอีก” เรโอะคร่อมร่างนั้นไว้กับเตียงด้วยแขนสองข้าง กลิ่นสบู่อ่อนๆ ลอยมาปะทะจมูกโทโมฮิสะ โทโมฮิสะเบ้หน้าก่อนจะผลักเรโอะให้พ้นทาง
“บ้า! ทำเหมือนฉันอยากนอนเตียงเดียวกับนายงั้นแหละ ลงไปนอนพื้นเลยไป” โทโมฮิสะว่า
“ทำไมต้องทำงั้นด้วยล่ะ ฉันเป็นเจ้าของห้องนะ”
“แล้วไงล่ะ ฉันเป็นว่าที่คนรักของพี่นายนะ นายต้องให้เกียรติฉันสิ”
“นี่นายเอาจริงหรอ” สีหน้าเรโอะหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อไป
“นายก็รู้นี่ ว่ามันไม่ง่าย.... คาเมะ...รู้ใช่มั้ย”
เช้าวันรุ่งขึ้น
“เอ๊ะ! นี่โทโมะจังยังไม่ตื่นอีกหรอ” แม่ว่าพลางตักข้าวส่งให้เรโอะ
“อ้อ! พอดีเค้าไม่ค่อยสบายน่ะครับ เห็นว่าปวดหัว” ... จะไม่ปวดหัวได้ยังไง ก็หลังจากฟังเรื่องราวของจินกับคาเมะก็เอาแต่ร้องไห้ทั้งคืน ร้องจนเขารำคาญเลยทีเดียว
“เขาเป็นอะไรมากรึเปล่า” จินที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยถามขึ้น
“ก็เห็นว่านอนไม่ค่อยหลับอ่ะครับ” เรโอะว่าพลางตักข้าวเข้าปาก
“คงแปลกที่ล่ะมั้ง สักพักก็คงชิน” พ่อว่า
“อ้าว! จินอิ่มแล้วหรอ” แม่ร้องทักทันทีที่เห็นจินวางตะเกียบลง ร่างสูงพยักหน้าก่อนจะเดินไปตักข้าวและกับข้าวใส่ถ้วยแล้วเดินหายไปบนชั้นสอง พ่อกับแม่มองตามไปอย่างงงงง มีเพียงเรโอะที่รู้ว่าจินเดินไปไหน
บานประตูถูกผลักออก โทโมฮิสะหรี่ตามองอย่างยากลำบาก ตาเขาบวมและหนักอึ้ง ถ้ามีถ้วยตวงมาวัดน้ำตา เมื่อคืนเขาคงเสียน้ำตาไปเกือบลิตรทีเดียว ร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมกับสำรับอาหารเช้าทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ร่างบางซุกหน้าหนีกับหมอนนุ่มเพราะไม่อยากให้จินเห็นสภาพอันน่าเกลียดของตัวเอง จินวางมือลงบนหน้าผากเบาๆ ร่างบางดิ้นหนี จินจึงใช้มืออังที่ต้นคอ
“นอนไม่หลับจนไข้ขึ้นเลยหรอ แปลกที่รึไง” จินว่าพลางเทน้ำใส่แก้ว แล้วหยิบยาแก้ปวดวางไว้ให้
“กินข้าวแล้วก็กินยาซะล่ะ ถ้าไม่สบายก็ทำตามความฝันไม่ได้นะโทโมะจัง”
โทโมฮิสะยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะจ้องมองไปในดวงตาของคนตรงหน้า ความรู้สึกอัดอั้นแน่นไปทั่วอก ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกรอบ... จินรักคาเมะมากขนาดนั้น... ทำไมถึงปล่อยเขาไปล่ะ.... ร่างบางสะอึกสะอื้น จินตกใจทำอะไรไม่ถูก จึงคว้าร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดและลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“ร้องไห้ทำไม คิดถึงพ่อกับแม่ตอนนี้ก็เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะ” จินว่าพลางเช็ดน้ำตาให้ น่าแปลกที่เขารู้สึกเป็นห่วงและอยากปกป้องโทโมฮิสะ อาจเป็นเพราะเขาเป็นพี่ชาย... แต่เรโอะไม่เคยอ่อนแอแบบนี้ซักครั้ง... ความรู้สึกมันเลยถูกถ่ายทอดมาถึงโทโมฮิสะ...คงเป็นอย่างนั้น
ร่างบางส่ายหน้ากับอกกว้าง ก่อนจะกอดจินให้แน่นขึ้น
“คิดถึงโทมะคุงรึไง โทรหาเขาก็ได้นี่” จินพูดถึงพี่ชายของโทโมฮิสะที่เป็นเพื่อนเขาสมัยม.ปลาย
“จินใจดีอย่างนี้กับทุกคนรึเปล่า”
“ไม่นี่”
“ถ้างั้น...ทำไมถึงได้ใจดีกับฉันล่ะ”
“เพราะเป็นโทโมะจังล่ะมั้ง .... ฉันต้องไปเรียนแล้วล่ะ หวังว่ากลับมาจะได้เห็นรอยยิ้มแบบเมื่อวานนะ” จินว่าพลางผละจากโทโมฮิสะ ก่อนจะใช้มือฉีกยิ้มมุมปากให้โทโมฮิสะ ร่างบางแกล้งปัดมือนั้นทิ้งก่อนยิ้มงอนๆ จินหัวเราะก่อนเดินจากไป ทิ้งให้โทโมฮิสะมีเวลาคิดอยู่เพียงลำพัง
.... เรื่องของคาเมะเป็นเรื่องที่จบไปแล้ว ฉันต่างหากล่ะจิน ที่เป็นคนที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับนาย....
หลังจากคุณลุงกับคุณป้าออกไปทำงานแล้ว โทโมฮิสะก็สลัดคราบความเศร้า กลับไปสู่ปณิธานเดิมคือ สืบเรื่องคาเมนาชิ คาซึยะ ...บุคคลต้นเหตุที่ทำให้เขาเสียน้ำตาไปหลายลิตร ร่างบางคว้าเสื้อโคทที่ดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุด สวมทับชุดที่ใส่อยู่ ก่อนจะยิ้มให้กระจกหนึ่งครั้ง
“เรื่องที่เรโอะเล่าอาจจะโม้ก็ได้ เจ้านั่นยิ่งเชื่อถือไม่ได้ สืบเองดีกว่า”
--------------------
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คน เสียงคุยดังอื้ออึงไปทั่ว จินนั่งกินข้าวกับจุนโนะสุเกะเพื่อนสนิท และเพื่อนร่วมชั้นอีกสองสามคน
“นี่ ได้ข่าวว่ามีเด็กหน้าตาดีมาอยู่ด้วยหรอวะ” โคคิถาม
“เฮ้ย! ทำไมข่าวเร็วจังวะ” จินทำหน้าสงสัย
“แหม นายก็รู้ คุณป้าข้างบ้านนายน่ะ รู้ลึก รู้ดียิ่งกว่าคอลัมซุบซิบดาราอีก ... แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือ เด็กคนนั้นหน้าตาดี”
“ก็.... เฉยๆ นะ ตาโตๆ ปากอิ่มๆ สีชมพู ผิวขาวๆ”
“พอ พอ พอเลย นั่นน่ะ โคตรน่ารักเลยนะเว้ย ... ถามจริงๆ เลย แกคิดอะไรกับเขารึเปล่า”
“เฮ้ย! จะบ้าหรอ เขาเพิ่งม.ปลายเอง แล้วอีกอย่าง แม่ก็ห้ามนักห้ามหนา ตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาอยู่บ้านแล้ว ว่าอย่ายุ่งกับโทโมะจังนะ ไม่งั้นแม่เอาตาย” จินว่าพลางหัวเราะขื่นๆ
“โทโมะจัง? ชื่อน่ารักจังว่ะ แนะนำได้มั้ย”
“ไม่ได้โว้ย ลูกของเจ้านายพ่อฉัน ขืนออกนอกลู่นอกทาง โดนแม่กินหัวแน่เลย” จินว่า
“เอ๊ะ! แต่เท่าที่พูดมา ตาโต ปากสีชมพู ผิวขาว นี่สเปคจุนโนะเลยนี่หว่า” โคคิว่า
“ไม่ล่ะ ฉันไม่สนเด็ก” จุนโนะวางช้อน ก่อนจะดื่มน้ำพลันสายตาก็หันไปเห็นใครบางคนที่หัวใจสั่งว่าใช่สำหรับเขา เขาลุกขึ้นอย่างลืมตัว ตั้งใจจะวิ่งตามร่างที่งดงามราวภาพฝัน แต่ก็ชนเข้ากับเก้าอี้ของโต๊ะข้างๆ จุนโนะกล่าวขอโทษอย่างสุภาพ เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ร่างบางก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
หลังจากเดินมาทั่วมหาลัยจนเมื่อยไปหมด โทโมฮิสะก็มานั่งนวดขาตัวเองใต้ต้นซากุระข้างห้องสมุด เขาไม่รู้ว่าเขาหมดแรงเนื่องจากเดินมากไป หรือหมดแรงเพราะคำตอบที่ได้รับมากันแน่ ร่างบางถามคนมาเกือบยี่สิบคน ไม่มีสักคนที่จะบอกว่าคาเมนาชิ คาซึยะเป็นคนไม่ดี...มีแต่คำชม ทั้งหัวดี ทั้งหน้าตาดี มีน้ำใจ รักเพื่อน เล่นกีฬาเก่ง ฯลฯ แล้วเขาล่ะ.... มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ถ้าจินชอบคนแบบนั้นล่ะก้อ ... เขาคงไม่ได้แม้เศษเสี้ยวความรักของจินแน่นอนเลย
มือบางควานไปทั่วกระเป๋าก่อนจะหยิบสร้อยเส้นหนึ่งขึ้นมา สร้อยข้อมือเส้นนี้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆ อย่าง ... เขามองมันก่อนถอนหายใจ
“ซ่อมเสร็จแล้วไงอ่ะ สิบปีแล้วเนี่ย เจ้าของเขายังไม่เอาคืนเลย เก็บไว้เป็นที่ระลึกนะ จะได้คิดถึงกัน...แหวะ ...เจ้าตัวลืมแล้วมั้ง” โทโมฮิสะหยิบสร้อยใส่กระเป๋าก่อนจะรีบลุกขึ้นจากโต๊ะ ร่างบางปะทะกับอีกร่างเข้าอย่างจัง โทโมฮิสะล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ในขณะที่อีกฝ่ายหนังสือหล่นกระจาย
“คาเมะเป็นอะไรรึเปล่า” ร่างสูงที่มากับคู่กรณีของโทโมฮิสะปราดเข้าไปประคองเจ้าของชื่อ
“คาเมะ??” โทโมฮิสะเบิกตากว้างทั้งที่มือยังคงลูบก้นด้วยความเจ็บปวด
“รู้จักฉันด้วยหรอ” คาเมะมองหน้าโทโมฮิสะอย่างงงงง
“อ้อ ! พอดีฉันเป็นเพื่อนของ...” โทโมฮิสะอึกอัก
“โทโมะจัง!” เสียงเรียกที่คุ้นเคยทำให้โทโมฮิสะสะดุ้งโหยง โดนจับได้จนได้สิน่า ... จินเดินหน้าบึ้งเข้ามาลากร่างบางจากไป จุนโนะเองก็อึ้งกับภาพที่เห็น ภาพเด็กหนุ่มที่งดงามดังภาพฝันที่เขาพบเมื่อตอนกลางวัน ....เป็นโทโมฮิสะที่โคคิพูดถึงจริงๆ
“นายมาทำอะไรที่นี่ ป่วยทำไมไม่นอนอยู่บ้านล่ะ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ” จินพูดอย่างห่วงใย แต่โทโมฮิสะกลับตีความหมายนั้นผิด
“จินไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงฉันก็ไม่ให้จินเดือดร้อนหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ...ฉันแค่เป็นห่วง”
“อืมมม.... ฟังแค่นี้ก็รู้สึกดีแล้วล่ะ ฉันกลับก่อนนะ เดี๋ยวคุณป้าเป็นห่วง”
โทโมฮิสะยิ้มให้จินก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้จินยืนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของคนตรงหน้า ตอนแรกที่เขาเดินผ่านไปที่ห้องสมุดกับพวกจุนโนะ เขาเห็นคาเมะกับยูอิจิเดินไปด้วยกัน ตั้งใจจะไม่สนใจหากไม่ได้ยินเสียงร้องที่คุ้นหูดังขึ้นซะก่อน เขาตกใจมากที่เห็นโทโมฮิสะอยู่ที่นี่แทนที่จะนอนพักผ่อนอยู่กับบ้าน ทั้งที่เป็นห่วง แต่ร่างบางกลับมองไม่เห็นความห่วงใยของเขาซะนี่.... น่าน้อยใจจริงๆ แต่จินจะรู้มั้ยว่าในขณะที่จินกำลังคิดแบบนี้ ...ก็มีอีกคนที่น้อยใจไม่แพ้กัน
หลังจากกลับมาจากมหาลัยโทโมฮิสะก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมกระดิกตัวไปไหนเลย เรโอะมองเพื่อนร่วมห้องที่นั่งกอดเข่าราวคนอมทุกข์อย่างเซ็งๆ ก่อนจะเอาเท้าเขี่ยเบาๆ
“นี่ อย่าเอาเท้ามาเขี่ยนะ ฉันไม่ได้น่าขยะแขยงขนาดนั้นซะหน่อย” โทโมฮิสะพูดโดยไม่กระดิกตัว
“อ้าว! ยังมีชีวิตอยู่หรอเนี่ย นึกว่าตายไปแล้วซะอีก”
“ถ้าตายเป็นผีนะ จะหลอกนายคนแรกเลย”
“ตอนนี้นายยังไม่ตาย นายก็กำลังหลอกฉันอยู่” เรโอะพูดจริงจัง
“หลอกอะไร ฉันไม่ได้หลอกอะไรนายซักหน่อย”
“หลอก...หลอกให้รักยังไงล่ะ” เรโอะหัวเราะเสียงดัง แต่ก็ต้องหุบปากกระทันหันเมื่อเห็นแววตาพิฆาตมาจากโทโมฮิสะ
“นี่ ที่นายบอกว่าเหมือนพี่ชายจะคบคาเมนาชิ แล้วทำไมถึงได้เลิกปุบปับนักล่ะ แล้วใครบอกเลิกใครก่อน”
“ไม่รู้อ่ะ ตอนนั้นไม่ได้สนใจ แต่เห็นว่าคาเมะจังก็ร้องไห้อยู่หลายวันนะ ส่วนจิน ก็เห็นมันนิ่งๆ แบบนี้แหละ ยังมีคนลือเลยว่าจินมันเป็นคนบอกเลิก”
“บอกเลิกทั้งที่ยังรักเขาเนี่ยนะ โง่ชะมัด” โทโมฮิสะว่า
“รู้ได้ไงว่าจินรักคาเมะ”
“เอ้า ! ถ้าไม่ได้รักจะละเมอหามั้ยเล่า สมองน้อยนะนายเนี่ย” ว่าพลางใช้นิ้วจิ้มหัวเรโอะ
“อยากรู้มั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันขโมยบันทึกจินมาให้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ”
“อะไร”
“ขอจุ๊บทีนึง”
“ไอ้บ้า ไอ้ลามก”
--------------------
คนสองคนค่อยๆ ย่องเบาในบ้านตัวเองเป็นภาพที่ใครเห็นใครก็ต้องหัวเราะ เรโอะค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนของพี่ชายก่อนจะส่งสัญญาณให้โทโมฮิสะเข้ามา
“ทำแบบนี้จะดีหรือ จินรู้ จินโกรธแน่เลย”
“ถ้านายไม่อยากรู้ เรากลับกันก็ได้นะ”
“เดี๋ยวสิ เรโอะ มาถึงขนาดนี้แล้วนะ”
“เอ้อ นี่ ฉันเคยเห็นพี่ชายฉันนั่งดูรูปๆ หนึ่งด้วยล่ะ อาจจะเป็นรูปคาเมะก็ได้นะ” เรโอะว่าพลางค้นหาสมุดบันทึกของพี่ชายจากกองหนังสือนับสิบบนโต๊ะ
“ทำอะไรกันน่ะ!”
“จิน!” สองเสียงประสานกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“อ้อ! พอดีจะขอยืมดิคหน่อยนะ แต่หาไม่เจอ” เรโอะว่า พลางพยักเพยิดกับโทโมฮิสะ
“ใช่ๆ เดี๋ยวเราไปหาของพวกเราก็ได้เนอะ” โทโมฮิสะว่าพลางจะทำเนียนเดินออกจากห้อง แต่ถูกคว้าข้อมือไว้ซะก่อน
จินมองสองคนอย่างคาดโทษก่อนจะหยิบดิคชันนารี่ซึ่งวางอยู่บนสุดของกองหนังสือส่งให้ เรโอะหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนลากโทโมฮิสะออกจากห้องไป
“เกือบไปแล้ว” เรโอะว่าพลางถอนหายใจโล่งอก
“เพราะนายคนเดียวนั่นแหละ”
“อ้าว! โทโมะจังอยู่นี่เอง มีแขกมาหาน่ะจ้ะ อยู่ที่ห้องรับแขก”
โทโมฮิสะเดินตามคุณป้าลงมาที่ห้องรับแขก และมองหน้าผู้มาเยือนอย่างงงงง นี่เขารู้จักผู้ชายตัวสูงตรงหน้าคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“เธออาจจะงง ฉันเป็นเพื่อนของจิน ตอนที่มหาลัยเมื่อกลางวัน ฉันก็อยู่ด้วย”
“อ่อ ... แล้ว...”
“ฉันคิดว่าฉันชอบเธอ คบกับฉันเถอะนะ”
“ห๋าาาาา” ไม่ใช่เสียงโทโมฮิสะแต่เพียงคนเดียว เรโอะที่ยืนแอบฟัง (อีกแล้ว) ก็ร้องขึ้นด้วย
“ไม่ได้นะ โทโมะจังเค้าเป็นของผม”
“เฮ้ย!” ไม่ใช่เสียงโทโมฮิสะแต่เพียงคนเดียว จินที่ยืนแอบฟัง (ต่อจากเรโอะอีกที) ก็ร้องขึ้นด้วย
“หยุด!... ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อให้พวกนายแย่งกันเหมือนฉันเป็นสิ่งของนะ ฉันอยู่ที่นี่เพื่อทำตามความฝัน และความฝันนั้นก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น .... คือเป็นเจ้าสาวของจิน...”
“เฮ้ย!” สามเสียงประสานของชายหนุ่ม ... แม้จะร้องออกมาเหมือนกัน แต่เป็นความรู้สึกที่หลากหลาย ดูเหมือนจินจะได้สติก่อนใครเพื่อน เขาเดินมาและคว้าข้อมือโทโมฮิสะเดินออกไปที่สวนหลังบ้าน
“โทโมะจัง พูดแบบนั้นได้ยังไง”
“พูดอะไร พูดว่าจะเป็นเจ้าสาวของจินน่ะหรอ ทำไมล่ะ ก็ฉันชอบจินจริงๆ นี่ ฉันอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าอยากอยู่ใกล้ๆ จิน ... ความฝันที่ว่าก็คือได้เป็นเจ้าสาวของจินจริงๆนี่”
“จะให้เชื่อได้ยังไง เราเจอกันไม่กี่วันเองนะ” เหมือนถามเพื่อหยั่งความมั่นใจ ทั้งที่ในมือจินยังกำบางอย่างไว้แน่น
“ไม่กี่วันหรอ ... จินคงลืมมันไปจริงๆ ... จินจำสร้อยเส้นนี้ได้มั้ย” โทโมฮิสะหยิบสร้อยข้อมือเส้นเล็กออกมาจากกระเป๋า
“สิบปีก่อน หน้าโรงเรียนประถม มีเด็กคนหนึ่งถูกแก๊งค์อันธพาลไถเงิน แล้วก็มีเด็กม.ต้นคนหนึ่งมาช่วยไว้ สร้อยเส้นนี้ขาดตกอยู่ เขาก็เก็บมันมาซ่อมแล้วเอาไปคืนที่โรงเรียนมัธยม แต่คนๆ นั้นก็บอกว่าให้เก็บไว้ ... เด็กประถมคนนั้นก็เลยคิดว่าโตขึ้นจะตอบแทนด้วยการเป็นเจ้าสาวให้ เขาเฝ้าติดตามความเป็นไปของคนๆ นั้นมาตลอดสิบปี จินรู้มั้ยว่าเขาต้องพยายามขนาดไหน แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็กลับรู้ว่าเขารักคนอื่น...มันเจ็บปวดนะจิน”
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ “
“เอ๋??”
“ฉันคิดมาตลอดว่าเด็กที่ฉันช่วยเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นเด็กผู้หญิง ถึงว่าสิ... ว่าทำไมฉันถึงหาเขาไม่เจออีกเลยหลังจากเจอกันตอนนั้น ฉันรู้แต่ว่าเขาเป็นลูกเจ้านายของพ่อ จนกระทั่งได้รูปที่โทมะคุงส่งมาให้ตอนวันเรียนจบม.ปลาย ฉันถึงได้เห็นนายอีกครั้งหนึ่ง มันทำให้ฉันตกใจมากทีเดียว ยิ่งวันที่เห็นนายนั่งอยู่ในบ้านยิ่งตกใจ... แต่จะว่าไงดีล่ะ คำห้ามปรามของแม่ทำให้ฉันต้องคิดทบทวนอยู่นาน ‘อย่าไปยุ่งกับลูกเจ้านายพ่อนะ’ มันค้ำคอฉันอยู่ตลอดเลยล่ะ” จินว่าพลางยื่นรูปใบหนึ่งให้โทโมฮิสะดู รูปเขาถ่ายกับครอบครัวในวันเรียนจบของพี่ชาย มือข้างซ้ายของเขาสวมสร้อยเส้นที่จินให้ไว้
“จินกำลังทำให้ฉันคิดว่าจินก็ชอบฉันนะ ... ทั้งที่จินละเมอถึงคาเมะ”
“ฉันเนี่ยนะ ละเมอถึงคาเมะ.... อืมมม ยอมรับก็ได้ ว่าฉันเคยชอบเขา เราเคยคิดจะคบกัน แต่ตั้งแต่ฉันเห็นรูปนายแล้ว ฉันก็ไม่สามารถคิดถึงคนอื่นได้อีกเลย”
“นายเป็นคนบอกเลิกคาเมะ อย่างนั้นหรอ”
“อืม...”
“ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกรึเปล่าน่ะหรอ”
“อืม ฉันมั่นใจว่ายังไงฉันก็ต้องตามหานายจนเจอ ก็นายน่ะ เป็นทั้งลูกชายของเจ้านายพ่อ แล้วก็เป็นน้องชายของเพื่อน และที่สำคัญเป็นคนที่ฉันชอบด้วย.... แต่นายก็กลายเป็นฝ่ายเข้ามาซะก่อน”
“เหมือนไม่มีค่าเลยเนอะ ได้มาง่ายไป”
“ไม่นี่ ... รู้มั้ยว่าฉันโหยหาจูบนั้นมานานแค่ไหน”
แล้วจินก็ก้มลงมอบจุมพิตอันแสนหวานให้โทโมฮิสะ เนิ่นนานจนเรโอะที่ยืนแอบมองอยู่ (อีกเหมือนเคย) แทบลืมหายใจ
“จะว่าก็ว่านะ ...ฉันคิดมาตลอดเลยว่าตอนนั้นน่ะ ฉันจูบกับเด็กผู้หญิง”
จบแล้วดีกว่า:::: เป็นฟิคน้ำเน่าแล้วก็ติ๊งต๊องที่สุดที่เคยแต่งเลยอ่ะ อ่านไปก็จะอ้วกไป...หวานเว่อร์ๆ จินดีเว่อร์ๆ เรื่องต่อไป ไม่เอาแล้วแบบนี้ไม่ใช่แนวลิ้มเลยง่ะ ขอเป็นเรื่องแรกแล้วก็เรื่องสุดท้ายที่มีพล๊อตหวานเลี่ยนแบบนี้ละกันนะ แนวลิ้มต้องแบบพระเอกเลวๆ หน่อย 555 อ่านแล้วสะใจ หรือไม่ก็เป็นความรักความผูกพันของเพื่อน ....ตอนแต่งเรื่องนี้นึกหน้าน้องพีจากเรื่อง PPOI เลยนะ เป็นวัยสาวที่แสนสะพรั่งของน้องเลยอ่ะ คิดเลยว่าถ้าเป็นผู้ชายแล้วเจอน้องแบบนั้น ลิ้มยอมเป็นเกย์เลย 555 ส่วนเรื่องนี้อ่านแล้วเป็นไงก็บอกกันมั่งล่ะ อยากรู้ ๆๆๆๆๆ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น